logo

ทำไมต้องเก็งกำไรใน CFD ?

การลงทุนผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับการลงทุน ได้แก่ หุ้น พันธบัตร หุ้นกู้ และกองทุนต่างๆ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับการเก็งกำไร ได้แก่ Options , Foreign currencies ,Cryptocurrencies ซึ่งในการเก็งกำไร  สินค้าที่อยากแนะนำในการเก็งกำไรนั่นคือ CFD

CFD คือ ผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เก็งกำไรในส่วนต่างของราคา ซึ่งมีข้อดีที่เหมาะกับการเก็งกำไร ดังนี้

  1. ผลิตภัณฑ์ CFD สามารถเก็งกำไรได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในระยะเวลา 7 วัน ถ้าหากต้องการเก็งกำไรใน Cryptocurrencies สามารถเก็งกำไรได้ตลอด แต่ถ้าหากเป็น ค่าเงิน สามารถเก็งกำไรได้ทั้งหมด 6 วัน ในช่วงเวลา วันจันทร์ เวลา 04.00 น. – วันเสาร์ เวลา 03.00 น. เท่านั้น
  2. การเทรดใน CFD ส่วนใหญ่จะไม่คิดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมมักอยู่ใน Spread ในส่วนต่างของราคาเสนอซื้อ และ ราคาเสนอขาย ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำ ทำให้มีต้นทุนในการเก็งกำไรในระยะสั้นที่ต่ำกว่าการเก็งกำไรในสินค้าอื่นๆ เช่น หุ้น , Future
  3. ในการเก็งกำไร CFD จะใช้เงินไม่มาก เพราะการเก็งกำไรใน CFD มี Leverage หลายโบรกมีการให้ Leverage สูงถึง 200 เท่า บางทีอาจขึ้นไปถึง 1000 เท่า ซึ่งสูงมากเหมาะกับการนำกำไรที่ได้ไปต่อยอดเพื่อสร้างผลกำไรมากขึ้น ที่สำคัญคือ การเก็งกำไรนั้นจะมีการเสียที่จำกัด เนื่องจากการเก็งกำไรใน CFD จะมี Negative balance Protection คือจะไม่เสียเงินมากกว่าเงินที่ฝากไป แต่หากเป็นตลาด Exchange เช่น Options, Future จะสามารถเป็นหนี้ได้หากเสียเงินเกินจำนวนที่วางลงไป แนะนำควรเริ่มต้นจากผลิตภัณฑ์ CFD ก่อน เพราะหากเทรดในตลาด Options ถ้าเสียเยอะจะมีโอกาสเป็นหนี้ตามมาได้
  4. ราคา Realtime จะเคลื่อนไหวตลอดเวลา เป็นไปตามสินค้าอื่นๆ เช่น การเทรด CFD ทอง ราคาจะขยับตามราคาทองคำที่เทรดในตลาด
  5. CFD ในปัจจุบันมีสินค้าให้เลือกมากมาย มากกว่าการเทรดในตลาดหลักทรัพย์ และมีให้เลือกหลากหลายซึ่งตอบโจทย์การเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อย

(การลงทุนกับการเก็งกำไรต่างกันอย่างไร)

เปรียบเทียบการเก็งกำไรในสัญญา Future กับ CFD มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกัน อย่างไร?  ทั้งหมด5 ข้อ ดังนี้

( เหตุผลทำไมต้องมาเทรด CFD )

1.การเก็งกำไรในสัญญา Future จะเป็นการเก็งกำไรในสัญญาที่เรียกว่า มาตรฐาน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีสัญญาที่ใหญ่ เช่น การเทรด Forex จะเริ่มต้นที่ 1 Lots หรือ $100,000 หรือ 3,000,000 บาท ส่วนการเทรด CFD ส่วนใหญ่จะสามารถกำหนดได้เอง ถ้าหากเทรดในโบรก Forex หรือ โบรก CFD ต่างๆ ขนาดในการเทรดได้เล็กที่สุดคือ 0.01 Lots ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 30,000 บาทเท่านั้นจาก 3,000,000 บาท ทำให้มีการยืดหยุ่นในการเทรดมากกว่า

2.Future จะมีค่าธรรมเนียมแพงกว่า CFD แต่อย่างไรก็ตามถ้าเทียบในการถือระยะยาว Future จะมีต้นทุนการถือที่ถูกกว่า เนื่องจากไม่มีค่า Swap แต่ CFD ในบางครั้งเมื่อหักลบค่า Swap ก็อาจแพงกว่าสัญญา Future ได้แต่อาจไม่เสมอไป ดังนั้นหากเก็งกำไรในระยะสั้นต้นทุนในการเทรด CFD จะถูกกว่าและมีขนาดที่เล็กกว่าสัญญา Future ที่เทรดใน Exchange อย่างแน่นอน

3.เนื่องจากสัญญา Future มีขนาดใหญ่ สภาพคล้องของสัญญาจึงค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับสัญญา CFD  สัญญา CFD ผู้ที่ดำเนินการสภาพคล้องส่วนใหญ่จะเป็น สถาบันการเงิน กองทุนธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น จึงทำให้มีสภาพคล้องที่สูงกว่าการเทรด Future ในสัญญาบางตัวได้

4.จุดด้อยของ CFD เรื่องการโปร่งใสของราคา เนื่องจากสัญญา Future จะมีหน่วยงานมากำกับดูแลทำให้มีความโปร่งใสของราคาสูงมากกว่า CFD  ส่วน CFD จะมีความโปร่งใสในระดับปานกลางขึ้นอยู่กับการเลือกเทรดกับโบรกเกอร์ไหน แต่โดยทั่วไปจะมีมาตรฐานที่เพียงพอต่อการเทรดกับโบรกเกอร์อื่นๆอยู่แล้ว

5.ความเสี่ยงจากคู่สัญญาการเบี้ยว การชิ่งถ้าหากเทรดในสัญญา Future โดยทั่วไปจะมีหน่วยงานกลางมากำกับดูแล โอกาสที่สัญญาจะบิดเบือนจะเกิดได้ค่อนข้างต่ำ แต่ CFD ไม่มีหน่วยงานมากำกับดูแล ทำให้โอกาสที่สัญญาจะบิดเบือนมีค่อนข้างสูง ดังนั้น ในการเทรดควรเลือกโบรกเกอร์ หรือหน่วยงานการกำกับดูแลที่ได้รับมาตรฐาน เพื่อทำให้เงินในการเก็งกำไรของเราไม่เสียหายไปไหน

อ้างอิง

https://www.youtube.com/watch?v=yydTyw2ihVw&list=PLxcFCY6f8RaNOWE7xHYzUxiy3PUye6tTE&index=5

Facebook
Twitter
Email

ข่าวสารเพิ่มเติม

ราคา Bitcoin หลุดระดับ 26,000 ดอลลาร์ หลังนักลงทุนเริ่มกลัวว่า FED อาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย

ช่วงเช้าวันนี้ราคา Bitcoin ได้ร่วงต่ำกว่าระดับ 26,000 ดอลลาร์อีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางความกังวลของเหล่านักลงทุนว่าเฟดอาจไม่สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ในปีนี้ แม้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯจะมีตัวเลขออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม

อ่านเพิ่มเติม